ทำไม IP ของ Website หรือ Web Hosting ติด Blacklist จึงมีผลต่อการส่ง Email ?

หลายๆคนเข้าใจว่าเมื่อ IP ของ Mail Server ไม่ติด Blacklist แล้วย่อมส่งเมล์ไปหาใครก็ได้อย่างไม่มีปัญหา ซึ่งนั่นไม่ใช่วิธีที่ถูกต้องเมื่อ Mail Server ปลายทางนั้นมีความเข้มงวดในการตรวจสอบความน่าเชื่อถือการรับ Email มากขึ้นไปถึงระดับ IP ของเว็บไซต์และนำ IP นั้นไปตรวจสอบอีกครั้งว่า IP นั้นติด Blacklist หรือไม่ หากติดอาจจะมีปฎิเสธการรับ Email ในครั้งนั้นเพราะมองว่าอาจจะมีความไม่น่าเชื่อถือ

IP ของ Website คืออะไร ?

โดยปกติในองค์กรต่างๆล้วนมีเว็บไซต์องค์กรของตนเองโดยเช่า Web Hosting จากผู้ให้บริการต่างๆ และนำข้อมูลเหล่านั้นขึ้นไปยัง Web Hosting ที่ได้เช่าบริการไว้ ซึ่ง Web Hosting แต่ละที่ก็จะมี IP ของตนเอง โดยการตรวจสอบ IP ของ Website ตนเองทำได้ง่ายๆ เพียง ping  www.domain.com หลังจากนั้นก็จะได้หมายเลข IP ของ Website ตนเองออกมาซึ่งโดยปกติ IP นี้จะถูกใช้โดยหลายเว็บไซต์ที่ใช้งานใน Server เดียวกัน

IP ของ Website ติด Blacklist ได้อย่างไร ?

จากประสบการณ์ของผู้เขียนมักเกิดจาก Website ประเภท Open Source เช่น WordPress หรือ Joomla อาจจะติดไวรัสบางประเภททำให้ Website เหล่านี้ส่ง Email ประเภท Spam ออกไปจำนวนมากโดยที่เจ้าของ Website ก็อาจจะยังไม่ทราบและทำให้ IP เหล่านี้ติด Blacklist หรืออีกสาเหตุหนึ่งอาจจะเกิดจาก Web Server เหล่านี้อาจจะใช้งานเป็น Mail Server ด้วย เมื่อมี User ส่ง Spam ก็จะทำให้ IP ของ Website ที่อยู่ใน Server ดังกล่าวติด Blacklist ไปด้วย

IP Website ติด Blacklist ส่งผลต่อการส่งเมล์อย่างไร ?

  • ไม่สามารถส่งหาปลายทางได้
    เนื่องจาก Mail Server อาจจะมองว่า Sender Domain ของเราอาจจะเคยมีประวัติการส่ง Spam เป็นต้น
  • Email อาจจะเข้าไปยัง Junk/Spam folder ปลายทาง
    หาก Mail Server ปลายทางรับอาจจะนำ Email เหล่านั้นไปไว้ใน Folder Spam/Junk Mail แทนเนื่องจากมองว่าผู้ส่งนั้นไม่มีความน่าเชื่อถือ

จะแก้ไขปัญหาอย่างไร

  • ปัญหาดังกล่าวโดยปกติต้องให้ผู้ให้บริการ Website แก้ไขเท่านั้น ซึ่งการแก้ไขควรแก้ที่ต้นเหตุของปัญหา เช่น ระงับการใช้งานของ Website ที่มีปัญหาทันที
  • หากลูกค้ายังพบปัญหาเหล่านี้บ่อยครั้ง ควรใช้งาน Website ประเภท VPS (Server ส่วนตัว) ซึ่งจะได้หมายเลข IP สำหรับ Website ตนเองเพียงเว็บเดียว แต่ควรตรวจสอบก่อนได้รับ IP ว่า IP นั้นติด Blacklist มาก่อนหรือไม่

SSD Disk ใน Email Server ช่วยทำให้การใช้งานเร็วขึ้นจริงมั้ย ?

SSD Disk คือ อะไร ?

โดยปกติ Harddisk เมื่อ 5-10 ปีที่แล้วหรือแม้กระทั่งปัจจุบันในบางรุ่น Harddisk จะเป็นประเภทจานหมุน (คล้ายๆกับแผ่น CD หลายๆแผ่นซ้อนๆกันหนาๆ) แต่ในปัจจุบัน Harddisk เปลี่ยนจากจานหมุนมาเป็นลักษณะซิฟหรือวงจรอิเล็กทรอนิกส์แทน (ตามภาพประกอบ) ข้อมูลจาก Kingston (ผู้ผลิต Harddisk ระดับโลก) [*1] รายงานว่า SSD Disk มีความเร็วมากกว่า 10-15 เท่าจาก Harddisk จานหมุนแบบเดิม

 

รูปภาพเปรียบเทียบระหว่าง Harddisk จานหมุนและ SSD Disk Technology

 

SSD ใน Mail Server เพิ่มประสิทธิภาพอย่างไร ?

แน่นอนว่าเมื่อ Mail Server ใช้งาน SSD แทน Harddisk จานหมุนแบบเดิมย่อมส่งผลทำให้การประมวลผลนั้นรวดเร็วมากยิ่งขึ้น เพราะจริงๆแล้ว Mail Server นั้นต้องทำงานอย่างหนักในบางกระบวนการ เช่น

  • การยืนยันตัวตน (Authorization) 
    ยกตัวอย่างเช่นใน Mail Server 1 เครื่องอาจจะมี User ใช้งานประมาณ 100 – 1,000 Users  ซึ่งกระบวนการยืนยันตัวตนนั้นเกิดขึ้นแทบจะทุกวินาทีและพร้อมๆกัน ดังนั้นกระบวนการอ่าน Harddisk หากทำได้รวดเร็วย่อมทำให้เกิดประสิทธิภาพสูงมากขึ้น
  • การอ่านและเขียนข้อมูล Email ลงใน Disk
    Mail Server มีกระบวนการอ่านเขียนข้อมูล Email ที่รับเข้ามาแทบจะ Realtime และจำนวนมากพร้อมๆกัน ดังนั้นหากเป็น SSD จะทำให้กระบวนการดังกล่าวมีประสิทธิภาพมากขึ้น
  • การอ่านเขียน Log
    โดยปกติการรับ Email 1 ฉบับจะเกิด Log ขึ้นประมาณ 4 บรรทัดและหากรับ Email พร้อมๆกัน 100 ฉบับย่อมทำให้เกิด Log จำนวนมหาศาลในเพียงเสี้ยววินาที

ประโยชน์ที่คาดไม่ถึงของ SSD ใน Mail Server

ผู้เขียนขอเขียนจากประสบการณ์ทำงานโดยตรงซึ่งมิได้มีแหล่งอ้างอิงใดๆ ถึงประโยชน์ที่คาดไม่ถึงของการใช้ Disk SSD แทน HDD ใน Mail Server ดังนี้

  • ลดการทำงาน CPU
    เมื่อ SSD ทำการอ่านและเขียนข้อมูลได้รวดเร็ว การที่งาน (Task) หรือ Process ต่างๆ ย่อมไม่ต้องติดคอขวดทำให้ CPU นั้นทำงานแล้วเสร็จทันที ซึ่งจากประสบการณ์ทำให้กราฟการทำงานของ CPU ลดลงเป็นอย่างมาก
  • ลดความเสี่ยงในการล่มหรือ Time out
    เมื่อการทำงานภายในเครื่องสามารถทำได้เสร็จสิ้นอย่างทันเวลาและไม่เกิดงานค้างในคิว ทำให้กระบวนการที่หนักๆ นั้นลดลงซึ่งทำให้ความเสี่ยงที่ Mail Server จะล่มน้อยลงมาด้วย

 

ข้อมูลอ้างอิง:
[*1] https://www.kingston.com/th/ssd/benefits-of-ssd

Data Center ของ Mail Server นั้นมีผลต่อความเร็วในการใช้งาน Mail Server แค่ไหน

Data Center คืออะไร ?

Data Center คือ สถานที่ไว้ Mail Server ซึ่ง Mail Server ก็เหมือนคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งที่อาจจะมีประาสิทธิภาพหรือคงทนมากกว่าคอมพิวเตอร์ตามบ้านแต่โดยรวมนั้นก็คือคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งเท่านั้น ที่ต้องวางไว้ในสถานที่ที่มีอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงและมีเสถียรภาพมากกว่าปกติ เช่น มีการควบคุมอุณหภูมิ ไม่ให้เครื่องดับ ซึ่งสถานเหล่านี้มีชื่อเรียกว่า Data Center  ซึ่งมีที่ตั้งอยู่ในทุกประเทศทั่วโลก

Mail Server ควรตั้งไว้ในประเทศใดดี ?

เราปฏิเสธไม่ได้ว่าการที่ Data Center ตั้งไว้ในสถานที่ที่ User ใช้งานยิ่งใกล้ยิ่งเร็ว แต่ในความจริงแล้วการตั้งไว้ในทวีปเดียวกันก็เพียงพอกับความเร็วแล้ว เพราะความเร็วเหล่านี้แทบจะไม่รู้สึกหากมิได้ทดสอบด้วยกระบวนการทางเทคนิค เช่น Ping, Telnet  และ Speed Test  เป็นต้น แต่หากอยู่คนละทวีปอาจจะมีผลต่อการใช้งานหาก ISP (ผู้ให้บริการ Internet) มีปัญหาการเชื่อมต่อระหว่างประเทศ แต่โดยทั่วไปมักไม่ค่อยมีปัญหาในการเชื่อมโยงไปยังทวีปเดียวกันนัก

Mail Server ควรตั้งอยู่ในประเทศที่เป็น Hub ของ Connection ของแต่ละทวีป เพราะในความจริงแล้ว Mail Server มิได้ต้องการความเร็วในการเชื่อมต่อมายัง User เท่านั้น แต่ยังต้องติดต่อไปยัง Server ทั่วโลก ดังนั้นหากตั้งในประเทศที่เป็น Hub ของแต่ละทวีปจะทำให้การสื่อสารนั้นเร็วและเกิดความเสถียรภาพ

หาก Mail Server มีปัญหาด้านการเชื่อมต่อ ?

ยกตัวอย่าง เช่น หาก Mail Server ตั้งอยู่ในประเทศไทยแต่ในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง Data Center นั้นๆอาจจะมีปัญหาการเชื่อมต่อไปยังต่างประเทศ (International Bandwidth) เต็ม แต่การเชื่อมต่อในประเทศยังนิ่งเสถียรอยู่ ผู้ใช้งาน (User) จะสามารถเชื่อมต่อไปยัง Mail Server ได้ แต่จะไม่สามารถรับ Email ใหม่ๆที่ส่งมาจาก Server อื่นๆจากทั่วโลกได้

Hub ของ Data Center ในแต่ละทวีป

จากประสบการณ์ของผู้เขียนซึ่งใช้งาน Data Center มากว่า 10 ปีพบว่า Data Center ที่เหมาะสมในแต่ละทวีปมีดังนี้

  • Asia คือ Singapore, India, Hongkong, Japan (เรียงตามลำดับความนิยม)
  • Europe คือ Netherlands ในความเห็นผู้เขียนหากใช้งานในทวีปยุโรปเท่านั้น การตั้ง Data Center ไว้ในประเทศใดความเร็วในการเชื่อมต่อแทบจะเท่ากันหรือต่างกันไม่มากนัก เนื่องจากอาจจะมีการเชื่อมต่อ Cable ไปยังแต่ละประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ
  • อเมริกา คือ สหรัฐอเมริกา

และมากกว่าการเลือกที่ตั้งของ Mail Server แล้วยังต้องคำนึงถึงเรื่องความเสถียรของ Server ที่ตั้งใน Data Center นั้นๆด้วย เพราะอาจจะไม่มีประโยชน์อะไรเลยหาก Server ตั้งอยู่ในสถานที่ที่ดี แต่ Server เครื่องนั้นมีปัญหาด้าน Hardware หรือ Software เป็นต้น

ปัญหาที่แท้จริงที่ทำให้ Mail Server ส่ง Email ไม่ถึงปลายทาง

ในการใช้งานระบบ Email องค์กรหลายๆ องค์กรต้องเคยพบปัญหาส่ง Email ไปไม่ถึงปลายทาง ซึ่งเมื่อค้นหาข้อมูลส่วนใหญ่มักจะได้ข้อมูลว่าเกิดจาก IP ติด Blacklist ซึ่งในความเห็นของผู้เขียนถูกต้องเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น แต่แท้ที่จริงแล้วอยากให้ผู้อ่านเข้าใจบริบทของ Email Server ว่า เครื่อง Mail Server หนึ่งเครื่องมีหนึ่ง IP ซึ่งเปรียบเสมือนบุคคลคนหนึ่ง เมื่อบุคคลดังกล่าวเดินทางไปยังต่างประเทศและเข้าสนามบินต่างๆ สนามบินปลายทางหรือ Mail Server ปลายทาง นั้นมีสิทธ์ที่จะให้ท่านเข้าหรือไม่เข้าประเทศได้ และ IP Blacklist ก็เปรียบเสมือนบัญชีดำที่อาจจะให้สนามบินปลายทาง (Mail Server ปลายทาง) ปฏิเสธท่านหรือไม่ก็ได้ หรือบางประเทศก็ไม่ได้สนใจบัญชีดำ (IP Blacklist) หรือบางประเทศก็สนใจ หรือประเมินมากกว่านั้น เช่น เดียวกับการส่ง Email ปัญหา IP​ Blacklist  เป็นเพียงปัญหาหนึ่งเท่านั้นแต่จริงๆแล้วยังมีองค์ประกอบอีกมากมาย

 

IP Blacklist คือ อะไร

IP  Blacklist คือ  IP นั้นมีประวัติที่ไม่ดีไม่น่าเชื่อถือซึ่งอาจจะเกิดจากการกระทำในอดีต เช่น IP ของ Mail Server ตัวนี้อาจจะเคยส่ง Spam จำนวนมากไปยัง Server ปลายทางใดปลายทางหนึ่ง เป็นต้น เมื่อ Mail Server ปลายทางได้รับ Email จาก IP นี้ก็อาจจะปฏิเสธการรับ Email และตีกลับ (Reject) ในที่สุด  เมื่อเปรียบ IP Blacklist ให้เข้าใจมากขึ้น คือ คล้ายกับบุคคลที่ติด Blacklist เมื่อเดินทางไปยังที่ใดปลายประเทศใดประเทศปลายทางเหล่านั้นก็อาจจะปฏิเสธการให้เข้าประเทศและส่งตัวกลับ เป็นต้น

 

IP ไม่ติด Blacklist ก็ส่งไม่ได้อยู่ดี

เมื่อทุกคนคิดว่าการที่ IP ไม่ติด Blacklist ก็ทำให้ Email ส่งไปถึงปลายทางแน่ๆ นั้นไม่ถูกต้องเลย เพราะจริงๆ แล้ว Mail Server ปลายทางอาจจะเก็บประวัติของ IP นั้นไว้ เมื่อเทียบให้ง่ายขึ้นสนามบินปลายทางแต่ละประเทศก็อาจจะมีการเก็บประวัติพฤติกรรมของบุคคลแต่ละบุคคลไว้ในการเดินทางมาก่อนหน้านี้ซึ่งบุคคลนั้นอาจจะไม่ได้ติด Blacklist ในระดับนานาชาติ แต่ติด Blacklist เพียงประเทศนั้นประเทศเดียวก็อาจจะทำให้บุคคลนั้นไม่สามารถเดินทางเข้าประเทศนั้นๆ จนกว่าประเทศเหล่านั้นจะปลดท่าน (Whitelist)  ออกจาก Blacklist ประเทศนั้นๆ ซึ่งมีความคล้ายคลึงกับการทำงานของ IP ของ Mail Server เป็นอย่างยิ่ง

IP Blacklist ยังแบ่งออกเป็นหลายค่าย

การติด IP Blacklist ยังแยกออกเป็นหลายๆค่าย ซึ่งแต่ละค่ายก็จะมีเหตุผลในการให้ติด Blacklist ที่แตกต่างกัน ซึ่ง Mail Server แต่ละที่อาจจะรับฟัง (Listen) ที่แตกต่างกัน โดยท่านสามารถลองศึกษาเป็นภาษาไทยได้ที่  https://www.whyblacklist.com/black-list/

 

ปัจจัยอื่นๆ

นอกจาก IP ของ Mail Server ติด Blacklist แล้วปัจจัยอื่นๆ ล้วนมีผลต่อคุณภาพการส่ง Email เช่น DNS Blacklist  หรือ IP Web Hosting ติด Blacklist และมากกว่านั้นอาจจะเกิดจากการ Block เป็นการเฉพาะของ Server ปลายทางซึ่งไม่สามารถแก้ไขปัญหาจากต้นทางได้ ยกเว้นปลายทางจะทำการ Whitelist ให้เท่านั้น

แนะนำโปรแกรม Thunderbird สำหรับเช็ค Email ในองค์กร

ทำไมถึงแนะนำ Thunderbird ใช้งานสำหรับเช็ค Email

  • เนื่องจากโปรแกรม Thunderbird เป็น Free Ware ที่สามารถ Dowload ได้จากหน้า Website และเป็นโปรแกรมที่ฟรีลิขสิทธิ์สามารถติดตั้งเองได้ง่ายและการใช้งานง่ายต่อผู้ใช้งาน Email ทำให้ไม่ต้องเสียเงินในการซื้อโปรแกรมและไม่มี Licen ในการกำหนดการใช้งานของโปรแกรม Thunderbird

วิธีการ Add Email ใน Thunderbird ทำได้อย่างไร

คลิกที่ไอคอน ‘Email’ เพื่อเพิ่มบัญชีผู้ใช้ใหม่
คลิกที่ ‘Skip this and use my existing email’
ใส่ชื่อ, ชื่อบัญชีอีเมล์, รหัสผ่าน จากนั้นกด ‘Continue’
เลือก POP3 และกดปุ่ม ‘Manual config’
1. Incoming: pop.(ชื่อโดเมน).com Port: 110
Outgoing: smtp.(ชื่อโดเมน).com Port: 587 2. กดปุ่ม ‘Re-test’
3. คลิก ‘Done’
จากนั้นจะมีหน้าต่างขึ้นมา เพื่อขอยืนยันการรับรอง Server
ให้คลิกปุ่ม ‘Confirm Security Exception’
1. กดปุ่ม ‘Get Mail’ เพื่อให้อีเมล์บน Server Copy ลงเครื่องคอมพิวเตอร์เรา
2. คลิก ‘Write’ เพื่อสร้างอีเมล์ใหม่
สร้างอีเมล์ เพื่อทดสอบส่งครั้งแรก จากนั้นกดปุ่ม ‘Send’
การส่งอีเมล์ครั้งแรกเมื่อติดตั้งลงบนโปรแกรม
จะมีหน้าต่างขึ้นว่า Send Message Error จะต้องกดยืนยัน SMTP
ให้กด ‘OK’
เมื่อคลิก ‘OK’ แล้วสังเกตว่าจะมีอีกหน้าต่างปรากฏขึ้นมาดังภาพ
ให้คลิก ‘Confirm Security Exception’

บทความที่เกี่ยวข้อง

ทำไมการใช้ Email บน Outlook ถึงนิยมตั้งเป็น POP

คำแนะนำการตั้งค่าบน Outlook ให้ประหยัดพื้นที่บน Mail Server และมีประสิทธิภาพ

การตั้งลายเซ็นต์หรือคำลงท้าย Email บนโปรแกรม Outlook

ทำไมการใช้งานอีเมล์องค์กรถึงใช้ใน Outlook

ตั้งและเปลี่ยนเสียงแจ้งเตือนเมื่อได้รับ Email บนมือถือ Android ได้อย่างไร ?

เลือกที่ Setting การตั้งค่าของอุปกรณ์

จากนั้นเลือการแจ้งเตือน

จากนั้นเลือก App ที่ใช้งาน Email เช่น App Gmail

เลือก Email ที่ต้องการตั้งแจ้งเตือนหรือเปลี่ยนเสียงแจ้งเตือน

จากนั้นเลือกเสียงแจ้งเตือนและเลือกเสียงที่ต้องการและบันทึก

บทความที่เกี่ยวข้อง

ปิดการแจ้งเตือน Email ใหม่บนมือถือ Android อย่างไร ?

การใช้งาน Email บนมือถือกับบนคอมพิวเตอร์มีความแตกต่างกันอย่างไร ?

การใช้งาน Email บนมือถือใช้อินเตอร์เน็ตหรือ 3G เยอะแค่ไหน

App ที่นิยมใช้เช็ค Email บนมือถือและ ipad

ปิดการแจ้งเตือน Email ใหม่บนมือถือ Android อย่างไร ?

เข้าที่การตั้งค่าของเครื่องมือถือระบบ Android

 

จากนั้นเลือการแจ้งเตือน

 

เลือก App  ที่ใช้งาน Email เช่น App Gmail

ผู้ใช้งานสามารถกด Icon ขวามือเพื่อปิดการแจ้งเตือน Email ได้เลย

หรือหากต้องการปิดการแจ้งเตือนบาง Email สามารถเข้าไปที่ App Gmail

เลือก Email ที่ต้องการปิดการแจ้งเตือน จากนั้นกดแทปEmail

 

จากนั้นเลือก Icon ขวามือเพื่อปิดการแจ้งเตือนบาง Email

บทความที่เกี่ยวข้อง

การใช้งาน Email บนมือถือจะทำให้พื้นที่มือถือเต็มมั้ย ?

App ที่นิยมใช้เช็ค Email บนมือถือและ ipad

การใช้งาน Email บนมือถือใช้อินเตอร์เน็ตหรือ 3G เยอะแค่ไหน

การใช้งาน Email บนมือถือกับบนคอมพิวเตอร์มีความแตกต่างกันอย่างไร ?

การใช้งาน Email บนมือถือกับบนคอมพิวเตอร์มีความแตกต่างกันอย่างไร ?

การใช้งาน Email ผ่าน มือถือใช้งานผ่านอะไร

การใช้งานผ่านมือถือส่วนใหญ่นิยมใช้งานผ่าน App อะไรบ้างดังนี้

  • App Mail นิยมใช้งานในอุปกรณ์มือถือ Android และ Ios เพื่อเช็ค Email ผ่านอุปกรณ์มือถือ ซึ่งการใช้งานในมือถือนั้นจะเน้นสอบสั้นๆเพื่อให้ผู้ส่งทราบว่าได้รับ Email แล้วเป็นต้น
  • Outlook มีผู้ใช้งานบางคนยังถนัดใช้งานผ่าน Outlook ในเครื่องคอมพิวเตอร์ทำให้ผู้ใช้งานต้องการใช้งาน Email ผ่าน Outlook ในมือถือด้วยเช่นกัน
  • App Gmail สามารถ Add account อื่นๆผ่าน App Gmail เพื่อเช็คหรือตรวจสอบ Email ผ่านมือถือได้โดยผู้ใช้งานที่ใช้บัญชี @gmail.com อยู่แล้วต้องสลับการใช้งาน Email องค์กรกับบัญชีส่วนตัว

การใช้งาน Email ผ่านคอมพิวเตอร์ใช้งานผ่านอะไร

การใช้งานผ่านคอมพิวเตอร์หรือ Laptop ส่วนใหญ่นิยมใช้งานผ่านโปรแกรมอะไรบ้าง ดังนี้

  • Outlook คือโปรแกรมที่ผู้ใช้งานระบบ Email บริษัทนิยมใช้งานเป็นส่วนมากซึ่งสามารถ Set up email ผ่านอุปกรณ์มือถือผ่าน Outlook ในมือถือด้วย
  • Thunderbird ผู้ใช้งานส่วนใหญ่ใช้งานผ่าน Thunderbird เนื่องจากเป็น Free ware ที่สามารถ Dowload และติดตั้งได้ง่ายและสเถียรต่อการใช้งานเพื่อเช็ค Email
  • Mail (Windows) App Mail ผู้ใช้งานระบบ  Window จะนิยมใช้งานเป็นส่วนน้อยเพื่อเช็ค Email
  • Mail (Mac) ผู้ใช้งานระบบ IOS ส่วนใหญ่จะใช้งานผ่าน App Mail ในเครื่อง Mac เพราะไม่ต้องลง Software เพิ่มเติม สามารถใช้งาน App Mail ที่มากับเครื่องได้เลย

การใช้งาน Email บนมือถือกับบนคอมพิวเตอร์มีความแตกต่างกันอย่างไร

การใช้งานใน Email ผ่าน มือถือนั้นผู้ใช้งานจะนิยมอ่าน Email ผ่านเมือถือเพื่อรอการแจ้งเตือน Email ที่สำคัญเท่านั้นและหากจำเป็นต้นต้องตอบกลับ Email อย่างเร่งด่วนจะพิมพ์เพียงสั้นๆ ซึ่งการใช้งานกับคอมพิวเตอร์นั้นจะพิมพ์ได้สะดวกกว่ารวมไปถึงการแนบไฟล์จะทำให้ผู้ใช้งานสะดวกกว่าใช้งานในมือถือ

 

บทความที่เกี่ยวข้อง

การใช้งาน Email บนมือถือใช้อินเตอร์เน็ตหรือ 3G เยอะแค่ไหน

App ที่นิยมใช้เช็ค Email บนมือถือและ ipad

การใช้งาน Email บนมือถือจะทำให้พื้นที่มือถือเต็มมั้ย ?

เอกสารที่ต้องใช้ในการจด Domain.com และ .co.th มีอะไรบ้าง

การใช้งาน Email บนมือถือใช้อินเตอร์เน็ตหรือ 3G เยอะแค่ไหน

ใช้งานผ่านมือถือสามารถ Add ด้วย App อะไรบ้าง

  • App Mail
  • App Gmail
  • App Outlook

ใช้งาน Email ผ่านมือถือใช้อินเตอร์เน็หรือ 3 GB มากแค่ไหน

  • ใช้ Internet ในการ Sync ข้อมูลไม่มากเนื่องจากเป็นการ Sync ข้อมูลจาก Server Email มาแสดงเท่านั้นเว้นแต่หากผู้ใช้งานต้องการ Dowload ไฟล์แนบมาเปิดดูหรือมีการ Uploade ไฟล์ขึ้นไปบน Email จะใช้ Internet มากกว่าแต่ผู้ใช้งานในมือถือส่วนใหญ่จะนิยมใช้เพื่ออ่าน Email หรือตอบกลับ Email เท่านั้น

บทความที่เกี่ยวข้อง

App ที่นิยมใช้เช็ค Email บนมือถือและ ipad

การใช้งาน Email บนมือถือจะทำให้พื้นที่มือถือเต็มมั้ย ?

ปัญหาที่แท้จริงที่ทำให้ Mail Server ส่ง Email ไม่ถึงปลายทาง

จะเกิดผลเสียอย่างไรหาก Mail Server ไม่มีการเก็บ Log

คำแนะนำการตั้งค่าบน Outlook ให้ประหยัดพื้นที่บน Mail Server และมีประสิทธิภาพ

ทำไมการใช้ Email บน Outlook ถึงนิยมตั้งเป็น POP

POP คืออะไร?

  • อย่างที่ทราบกับทั่วไปในการใช้งานระบบ Email สามารถเลือก Type ในการ Add Email ได้ 2 ชนิดคือ POP และ Imap โดยส่วนใหญ่การ Add Email ลงในโปรแกรมที่ผู้ใช้งานสะดวกใช้งานส่วนใหญ่จะเป็นโปรแกรม Outlook Thunderbird หรือ App Mail ที่มากับเครื่องการตั้งค่า POP นั้นเป็นการดูด Email ลงอุปกรณ์ที่ตั้งค่าซึ่งต่างจาก Imap เป็นการเก็บข้อมูลบน Email Server และทำการ Sync ข้อมูลมาแสดงในอุปกรณ์ที่ใช้งานเท่านั้น

ทำไมถึงนิยมใช้ POP

  • เนื่องจาก POP เป็นการ Add Email เพื่อเก็บข้อมูลลงเครื่องซึ่งถือว่าเป็นการ Backup ข้อมูลไปในตัวและป้องกัน Email เต็มผู้ใช้งานส่วนใหญ่จะนิยมใช้งาน POP มากกว่า Imap นอกจากจะมีการใช้งานหลายอุปกรณ์ผู้ใช้งานจะเลือก Imap เพื่อใช้งานมากกว่า

Port การตั้งค่า Outlook มีอะไรบ้าง ต่างกันอย่างไร

Port การตั้งค่ามีทั้งขาเข้าและขาออกซึ่ง Port นั้นจะแตกต่างกันระหว่าง POP และ Imap ดังนี้

  • POP (ขาเข้า) : 110
  • POP (ขาเข้า SSL) : 995
  • Imap (ขาเข้า) : 143
  • Imap (ขาเข้า SSL ) : 993
  • Smtp (ขาออก) : 587
  • Smtp (ขาออก SSL) : 465

ทำไมผู้ใช้งานถึงนิยมใช้งานใน Outlook

  • เนื่องจากโปรแกรม Outlook มีการแจ้งเตือนหากมี Email ใหม่เข้ามาและใช้งานง่ายกว่าเพราะผู้ใช้งานส่วนใหญ่จะมี Outlook ที่เครื่องแล้วทำให้เป็นที่นิมยมในการใช้งานผ่าน Outlook มากกว่าโปรแกรมอื่นๆ

บทความที่เกี่ยวข้อง

คำแนะนำการตั้งค่าบน Outlook ให้ประหยัดพื้นที่บน Mail Server และมีประสิทธิภาพ

การตั้งลายเซ็นต์หรือคำลงท้าย Email บนโปรแกรม Outlook

ทำไมการใช้งานอีเมล์องค์กรถึงใช้ใน Outlook

Data Center ของ Mail Server นั้นมีผลต่อความเร็วในการใช้งาน Mail Server แค่ไหน